Friday, August 12, 2011

School & Me Story : สิ่งที่ผมเป็นกับสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง
      
         ชีวิตของคนเราแน่นอนต้องเคยพบเจอกับสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงจริงๆ เปรียบเหมือนทางแยก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงให้เราไปในทางที่ดีก็ได้ หรือไปในทางที่ไม่ดีก็ได้ เพียงแต้เราคงต้องเตรียมตัวเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต  การเปลี่ยนแปลงในบางครั้งก็เป็นถ้าเป็นสิ่งที่ดีกับตัวของเรา ก็จะทำให้เราทำแล้วเกิดความสุข สนุกที่ได้ทำ แต่กลับกันถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ดีกับตัวของเรา ไม่เข้ากับตัวของเรา สิ่งที่เราทำสิ่งที่เราปฏิบัติก็อาจจะไม่ดีเลยก็ได้ เช่นเดียวกับตัวของผมก็ได้เจอทางแยกหรือการเปลี่ยนแปลงมามากพอสมควร และก็มีการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่อยากจะมานำเสนอให้ทุกคนได้อ่านกันครับ.......
     
         การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวของผมในตอนนีีโดยที่ผมเองก็ยังไม่ทราบและยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดผลดีหรืออาจจะไม่ดีก็ได้ นั้นก็คือการได้มีโอกาสมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ - -" ในระดับประถมศึกษาปีที่ 3 ถ้าใครได้อ่านบล็อกก่อนๆคงทราบดีว่าผมเป็นครูพลศึกษาและสุขศึกษานะ(แล้วให้ผมมาสอนเลขเด็กคงจะเจริญละ55) ทำไมผมจึงมาสอนเลขผมคงต้องเล่าย้อนไปตอนเทอมสองเมื่อปีที่แล้ว.........
         ในตอนนั้นผมก็ยังเป็นครูสอนพลศึกษาและสุขศึกษาอย่างเต็มตัวโดยที่รับผิดชอบการสอนพลศึกษาตั้งแต่ปฐมวัย 1-3 และประถมศึกษาตั้งแต่ 1-6 สุขศึกษาสอนในช่วงชั้นที่ 1 คือระดับประถมศึกษาปีที่ 1-3 การสอนในทุกๆวันในตอนนั้นผมอยากจะบอกว่าแม้จะสอนเด็กที่เป็นเด็กเล็กๆ แต่ก็สนุกมากๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้เจอะเจอมันเหมือนสอนผมให้ผมอยากที่จะพัฒนาการสอนในวิชาชีพที่ผมเรียนมาให้ดีขึ้นทุกวัน ทุกวันที่ผมสอนล้วนที่จะมีความสุขเพราะผมได้สอนในสิ่งที่ผมรักที่ผมชอบ การสอนของผมเลยมักจะเกินเวลาไปบางในบางครั้ง(555ก็มันช่วยไม่ได้กำลังสนุกนิหน่า) การสอนในช่วงนั้นผมพยายามที่จะพัฒนาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวิชาพลศึกษาหรือจะเป็นสุขศึกษา สุขศึกษาผมพยายามที่จะปรับใช้เทคโนโลยีให้เข้ามาบทบาทในวิชานี้ให้มากขึ้นเช่น ในเรื่องของการสอนเรื่อง โรคติดต่อ สอนป.3 ผมได้ใช้สื่อการสอนที่เป็นการ์ตูนเรื่องหนึ่งชื่อว่า one upon a time life (นิทานชีวิต) ซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้มีประโยชน์อย่างมาก การ์ตูนเรื่องนี้สอนให้เราได้เรียนรู้ถึงระบบภายในร่างกายของเรา ซึ่งถ้าใครไม่รู้จักผมมีคลิปให้ดูครับ (เผื่อเห็นคลิปนี้แล้วจะจำได้ รวมไปถึงถ้าใครสนใจก็ลองหาดูได้ครับ)

one upon a time life 
 


โดยในเรื่องนี้ผมอยากจะสอนให้เด็กเห็นก่อนว่าเจ้าเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอย่างไรและเชื้อโรคจะทำให้ร่างกายของเราเป็นอย่างไร และร่างกายของเราจะสามารถกำจัดเจ้าเชื้อโรคได้อย่างไร ซึ่งสอดคล้องกับบทเรียนที่จะสอนคือเรื่องของโรคติดต่อได้ ซึ่งถ้าเราสอนไปอย่างเดียวเด็กอาจจะไม่เข้าใจและไม่จำ แต่ผมเลือกใช้สื่อที่เหมาะกับเด็ก เลยทำให้เด็กเขาเข้าใจได้ง่ายและยังดูแล้วสนุก โดยในตอนนี้เด็กๆหลายๆคนยังอยากที่จะดูต่ออีก^^ นี่คือส่วนหนึ่งที่ผมได้พยายามพัฒนาการสอนในสิ่งที่ผมรัก ผมทำด้วยคนที่รักต่อวิชาชีพ ทำแล้วมันมีความสุขได้เห็นเด็กๆเกิดรอยยิ้มเกิดความสนุกสนาน ผมสอนต่อมาเรื่อยๆอย่างมีความสุขจนมีวันหนึ่งครูวิชาการที่โรงเรียนซึ่งท่านสอนคณิตศาสตร์ ป.3 นั้นเองมีโจทย์บางข้อที่ท่านไม่เข้าใจจึงมาถามผม ผมก็ได้อธิบายไป นี่คงเป็นจุดประกายแรกที่ทำให้ ครูที่เป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการเห็นแววว่าผมน่าจะสอนเลขได้(ซึ่งถ้าคิดย้อนไปตอนนั้นไม่น่าเลย55) ต่อมา ผมได้มีโอกาสได้เข้าไปติวเลขป.3 อาทิตย์ละ1คาบเพื่อให้เด็กได้เกิดการคิด การวิเคราะห์ การตีโจทย์ได้ เพราะเด็กระดับป.3 จะต้องสอบ NT National Test  คือ การสอบประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน  เพื่อการประกันคุณภาพผู้เรียน ตรวจสอบกำกับดูแล และพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ) ซึ่งเป็นการสอบที่เด็กระดับ ป.3 จะต้องสอบทุกคน เพราะอะไรผมถึงได้โอกาสมาติวก็เพราะ ครูวิชาการท่านเดิมได้บอกครูใหญ่ว่าผมพอที่จะติวได้ ทำได้ ครูใหญ่เลยให้ผมได้ลองเข้าไปติวทุกอาทิตย์ๆละครั้ง........... "นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผมได้มาสอนวิชาคณิตศาสตร์ในวันนี้"

         ตอนนี้ทุกคนได้ทราบแล้วว่าจุดประกายการเปลี่ยนแปลงแรกที่ผมได้มาสอนวิชาคณิตศาสตร์เป็นอย่างไร ในตอนหน้าผมจะมาเล่าต่อนะครับว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ จะส่งผลต่อชีวิตของผมอย่างไรบ้างนะครับ จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีหรือเปล่า หรือในทางที่ไม่ดีหรือเปล่า อย่างไร ทางแยกนี้จะส่งผลต่อชีวิตผมอย่างไร มาติดตามต่อในบทความหน้านะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ^^

Tuesday, August 9, 2011


School & Me Story : S A Q Performance 

          คำมั่นสัญญาที่บอกต่อกันว่าเราจะสู้ เราจะชนะ และเราไม่อยากที่จะแพ้ เป็นสิ่งที่เด็กๆได้บอกผมในวันนั้น จากคำมั่นนั้นเด็กๆบอกผมเราจะสู้และซ้อมกันต่อไป ผมและทีมงานได้ตกลงและวางแผนการฝึกซ้อมให้เด็กใหม่โดยคำนึงถึงชนิดกีฬาที่เด็กเล่นนั้นก็คือ แชร์บอลนั้นเอง การเล่นแชร์บอลจำเป็นต้องมีสมรรถภาพทางกาย(สมรรถภาพทางกาย   หมายถึง ความสามารถของระบบต่าง ๆ ในร่างกายที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายที่ดีจะสามารถปฏิบัติภารกิจประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว และฟื้นตัวจากความเมื่อยล้)แทบทุกอย่าง แน่นอนว่าในเรื่องของความอดทนของกล้ามเนื้อก็จำเป็นอย่างแน่นอนเพราะว่ากีฬาแชร์บอลเป็นกีฬาต้องเคลื่อนที่เคลื่อนไหวตลอดโดยมีเวลาเป็นตัวกำหนด(ความอดทนของกล้ามเนื้อ  (Muscular Endurance)  หมายถึง  คุณสมบัติที่บุคคลสามารถเพียรพยายามทำงานในกิจกรรมที่ต้องใช้กลุ่มกล้ามเนื้อกลุ่มเดียวกันเป็นระยะเวลานาน ๆ) แต่ในมุมมองอีกด้านสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญหรือจำเป็นต้องฝึกในกีฬาแชร์บอลไปพร้อมกับความอดทนของกล้ามเนื้อไปด้วยก็คือ ความคล่องแคล่วว่องไว (ความคล่องแคล่ว หมายถึง ความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วและควบคุมได้ รูปแบบที่นิยมนำมาใช้ทดสอบ เช่น การวิ่งเก็บของ การวิ่งซิกแซ็ก) เมื่อผมคิดเช่นนั้น จึงหาโปรแกรมที่จะนำมาฝึกฝนกับนักเรียนโดยให้สอดคล้องกับความอดทนและการฝึกความคล่องตัวไปด้วย (ซึ่งถ้ามองจริงๆก็ยากเอาการ55)


           การฝึกที่ผมมองและคิดว่าน่าจะสามารถนำไปฝึกฝนได้จริงและจะเกิดประโยชน์ก็กลุ่มเด็กๆมากที่สุดก็ โปรแกรมการฝึกเอส เอ คิว(S A Q) ผู้อ่านหลายๆท่านคงจะงงว่าเอส เอ คิว คืออะไร ผมจะอธิบายให้ฟังนะครับ 


S A Q  คือ
S – Speedความเร็ว
A – Agilityความว่องไว
Q – Quickness  ความคล่องแคล่ว

           ฉะนั้นเอสเอคิวจึงเป็นสิ่งที่ไว้ฝึกเรื่องของความคล่องแคล่วว่องไวนั้นเอง โดยจะมีโปรแกรมหรือสถานีการฝึกต่างๆให้กลุ่มผู้ฝึกได้ฝึกฝนในเรื่องของความคล่องแคล่วว่องไว เพื่อเกิดประโยชน์อย่างสูงสุดกับกลุ่มผู้ฝึกนั้นเอง

           การฝึกเอส เอ คิว ที่ผมได้นำไปฝึกกับเด็กๆจะให้สอดคล้องกับกีฬาแชร์บอลให้มากที่สุด เช่นในเรื่องของการเคลื่อนที่เคลื่อนไหวในสนามได้อย่างคล่องแคล่ว การเคลื่อนที่หนีตัว    

                                                                 ประกบ หรือการเข้าประกบตัวผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม  
                                                                 เป็นต้น 


Agility cone drill


         ในแบบฝึกแรกที่ผมได้ลองนำไปใช้กับเด็กๆ นักเรียนคือการฝึกการเคลื่อนที่เคลื่อนไหว ในทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการวิ่งสปีดไปข้างหน้า การวิ่งถอยหลัง การวิ่งข้างๆ ถ้านักเรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแล้วจะเกิดประโยชน์ ต่อการลงไปแข่งขันในสนามอย่างแน่นอน การฝึกจะใช้กรวย(Cone)วางไว้ 5 จุดในระยะที่ห่างกันพอสมควรและก็วิ่งในทิศทางต่างๆไปยังกรวยอีกจุด โดยผมจะให้เด็กฝึกทุกครั้งโดยจะให้ฝึก 3-5 เซต(หมายความว่าทำ 3-5 รอบต่อคน) 

Speed, Five-Star Drill

          ในแบบฝึกที่สองที่ผมได้นำมาใช้คือการฝึก กรวย 5 อัน ตามคลิปเป็นการฝึกในเรื่องการสไลค์ตัวไปยังกรวยต่างๆ การสไลค์จะต้องย่อตัวให้ต่ำเพื่อให้ได้กล้ามเนื้อต้นขาด้วย การฝึกอันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากในการเล่นแชร์บอลเพราะ การฝึกชนิดนี้จะทำให้เด็กๆสามารถใช้การสไลค์ตัวปิดคู่ต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น

           สองคลิปที่นำมาเสนอเป็นแค่ตัวอย่างที่นำมาปรับใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของการทรงตัวในสนามการเคลื่อนที่เคลื่อนไหวในกีฬาแชร์บอลและยังที่จะสามารถฝึกความคล่องแคล่วว่องไวได้อีกด้วย และยังมีอีกหลายๆแบบฝึกที่ผมได้ปรับใช้กับเด็กๆเพื่อให้เกิดประโยชน์กับเด็กๆให้มากที่สุด สิ่งที่ผมนำมาปรับใช้แม้มันจะดูยากไปนิดหน่อยแต่ผมก็หวังว่าความรู้ที่ผมต้องการมอบให้เด็กๆให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อตอบแทนความตั้งใจของพวกเขานั้นเอง....


Sunday, August 7, 2011

School & Me Story : น้ำตาแห่งความพยายาม
      
           จากวันนั้นที่พวกเราครูพลศึกษาได้ริเริ่มการออกกำลังกายในตอนเย็นทุกวันขึ้น พวกเราได้สอนได้เล่นกีฬากับพวกเด็กๆของเราทุกวันจนมีโอกาสได้เข้าแข่งขันกีฬาต้านยาเสพติด ซึ่งมีกีฬาสองประเภทที่ใช้แข่งขันก็คือ ฟุตซอล และแชร์บอล ฟุตซอลผู้ชาย ส่วนแชร์บอลจะเป็นผู้หญิง ซึ่งการแข่งขันจะเป็นการแข่งขันแบบมินิลีก คือทีมหนึ่งจะต้องแข่ง 2 นัดเอาทีมที่ดีที่สุดสองทีมเข้ารอบสอง พวกเราครูพลศึกษาจึงรวมคนเพื่อที่จะส่งนักเรียนเข้าแข่งขันในนามโรงเรียนนวลวรรณศึกษา 
      
           ผมได้โอกาสคุมนักกีฬาแชร์บอลหญิง ในช่วงแรกของการฝึกซ้อมกีฬาแชร์บอลหญิงแน่นอน ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงแล้วเรื่องของปัญหาต่างๆย่อมมากตามมาด้วยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการกลับบ้านดึกไม่ค่อยได้ ผู้ปกครองมารับไม่ได้ และปัญหาอื่นๆอีกมากมาย พวกเราก็ต้องปรับเปลี่ยน ปรุงแต่งทีมของเราไปเรื่อยๆ การซ้อมผมพยายามให้เด็กของผมฝึกในทุกๆทักษะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสร้างความคุ้นเคยกับลูกบอล การเคลื่อนที่เคลื่อนไหวในสนาม การรับส่งบอล การยิงประตู การเรียนรู้การเล่นทีม รวมไปถึงการสร้างร่างกายให้มีความแข็งแรงพร้อมที่จะแข่งขันได้ตลอด 30 นาที เด็กๆได้ฝึกฝนกันอย่างตั้งใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังที่อยากที่จะแข่งขันและอยากได้คำว่า ชัยชนะ แม้ว่าคำว่าชัยชนะจะไม่ได้มาง่ายก็ตาม แต่สิ่งแรกที่ผมได้เห็นจากเด็กๆกลุ่มนี้้คือความตั้งใจ ความทุ่มเท ผมไม่คิดหรอกนะครับว่าเขาจะทุ่มเทอะไรกันมากขนาดนั้น จนมีวันหนึ่งเด็กๆโทรหาผมเพื่อให้ผมมาซ้อมให้ในวันอาทิตย์ โดยเด็กๆให้เหตุผลว่าไม่อยากทิ้งเวลาเสียไปอย่างไร้ประโยชน์,,,,,,,แค่นี้ผมก็อยากจะบอกนะครับว่า อย่างน้อยแม้ทีมเราจะพ่ายแพ้อย่างยับเยินอย่างไรก็ตามแต่ผมก็ได้เห็นถึงการรักที่จะเล่นรักที่จะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แล้ว คุณผู้อ่านเห็นด้วยกับผมมั้ยครับว่าพวกเด็กๆเขาสร้างรอยยิ้มในหัวใจของผมได้นะครับ^^
      
            วันแข่งขันก็มาถึงเราเจอกับโรงเรียนดาราคาม ซึ่งเขาเป็นรองแชมส์เก่าเมื่อปีที่แล้ว สิ่งที่ผมสังเกตเห็นกับตัวเด็กๆก่อนการแข่งขันแมตส์นี้เด็กๆไม่มีท่าทีในการกลัว แต่เขาเต็มไปด้วยความหวังที่จะชนะ,,,,แม้สุดท้ายทีมของเราก็พ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน 84-0 การพ่ายแพ้นัดแรกบ่งบอกได้ถึงประสบการณ์ที่นักเรียนยังขาดอีกมาก การพ่ายแพ้นัดแรกทำลายความเชื่อมั่น ทำลายความตั้งใจของเด็กๆไปมาก ผมสังเกตเห็นได้จากเมื่อแข่งเสร็จเด็กๆเกิดร้องไห้ น้ำตาของเด็กแทบทุกคนไหลออกมาโดยที่เขาคงเสียใจ เจ็บใจ ที่เขาพ่ายแพ้ การแพ้คงจะยิ่งใหญ่ต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก ผมและคณะครูก็ช่วยกันปลอบ เพราะการแพ้นัดนี้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เรายังไม่ได้ตกรอบเลย แต่เรายังมีอีกหนึ่งนัดที่จะแข่งขันถ้าเราชนะก็จะสามารถเข้ารอบได้เช่นกัน จากการพ่ายแพ้ในนัดแรก เด็กๆกลับมาฝึกซ้อมกันอย่างหนักอีกครั้ง พวกเด็กๆยังคงเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถขนะและผ่านเข้ารอบได้ ถ้าเราชนะ......
          
            การแข่งขันในนัดที่สองก็มาถึงเราแข่งขันกับโรงเรียนยุหมินพัฒนา ซึ่งถ้าใครชนะก็จะผ่านเข้าสู่รอบที่สองทันที ตามโรงเรียนดาราคามเข้ารอบไป การแข่งขันเป็นไปอย่างสนุกสนานเพราะทั้งสองโรงเรียนความสามารถไม่ได้แตกต่างกันมากนัก การแข่งขันจบลงด้วยผลสกอร์ 10-10 ซึ่งทำให้เราต้องแข่งขันต่อเวลา ผลสุดท้ายเด็กๆของเราก็เป็นฝ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 20-10 แมตส์การแข่งขันในครั้งนี้จบลงด้วยเราพ่ายแพ้ทั้งสองนัด......

            เด็กๆของเราทุกคนร้องไห้กับความพ่ายแพ้อีกครั้งเป็นความพ่ายแพ้ที่ทำลายความตั้งใจของเขาอย่างมากอีกครั้ง การร้องไห้และการเสียใจ เป็นสิ่งธรรมดาที่ทุกคนล้วนที่จะเคยทำเวลาที่เราเสียใจ ดีใจกับสถานการณ์ต่างๆ ดีใจเมื่อเราประสบความสำเร็จเราก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ หรือเมื่อเราต้องสูญเสียอะไรซักอย่างเราก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ การร้องไห้และการเสียน้ำตามันคงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลย.....แต่การร้องไห้ของเด็กในครั้งนี้ผมเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าพวกเด็กๆเสียใจที่ต้องตกรอบ เสียใจที่ทำตามฝันที่อยากจะเข้ารอบต่อไปไม่ได้ พวกเขาร้องไห้ และร้องไห้ และร้องไห้ (ภาพในวันนั้นจะคงติดตาและติดอยู่ในใจของผมมาในวันนี้เลยครับ)

               เช้าวันต่อมาหลังจากผ่านวันพ่ายแพ้ไป การร้องไห้บ่งบอกได้ถึงความเสียใจที่มีต่อการเล่นกีฬา เด็กๆหลายๆคนยังคงมีอาการเสียดายและบางคนมีอาการเงียบขรึมไป ผมคิดได้อย่างหนึ่งในขณะนั้นว่า วันนี้จะยังมีเด็กๆมาฝึกซ้อมกีฬากับเราอีกหรือไม่ เพราะพวกเขาต้องเสียใจ ต้องเสียน้ำตากับกีฬานี้ถึง2ครั้งพวกเขาคงไม่อยากที่จะเล่นแล้วละในความคิดของผม(ใครจะอยากเล่นแล้วแพ้เนอะ) เย็นวันนั้นเด็กๆ เปลี่ยนชุดมาซ้อมและได้บอกกับผมว่าพวกเขาขอสู้ต่อไป เขาอยากที่จะชนะ เขาอยากที่จะพยายามต่อไปให้ถึงที่สุด การพูดของเด็กๆทำให้ผมยิ้มได้พร้อมที่จะสู้ต่อไปพร้อมกันกับเด็กแล้ว น้ำตาที่พวกเด็กเสียไปในวันนั้น มันจะเป็นน้ำตาแห่งความพยายามที่จะส่งผลให้พวกเด็กๆประสบความสำเร็จในข้างหน้าอย่างแน่นอน ผมเชื่อนะครับว่าในวันนี้เด็กๆจะยังไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้แต่เขาจะมีความรักต่อการเล่นกีฬาไปอีกยาวนาน

            น้ำตาแห่งความพยายามในเรื่องนี้ผมอยากให้เห็นถึงความตั้งใจที่เด็กๆของผมเขาพยายามจนสุดความสามารถของเขานะครับ หลายๆคนอาจจะอ่านไม่เข้าใจนะครับผมก็ขอโทษด้วยจริงๆแต่อยากให้ลองใช้จิตใจของคนที่เป็นครู คนที่เป็นผู้ฝึกสอนดูนะครับ แล้วจะเข้าใจว่าการเสียน้ำตาของเด็กในวันนั้นมันมีค่าจริงๆครับกับครูคนนี้ มันสอนให้ผมเห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของเด็กๆกลุ่มนี้และมันจะอยู่ในใจผมตลอดไปครับ.....^^